1234productions webp

david rosky

Web Developer

6666666666666666666666666666คัมภีร์ไบเบิล666666666666666666666666666

ความดีของพระเจ้า / ความชั่วของซาตาน -คัมภีร์ไบเบิล

คุณอาจคิดว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นคัมภีร์ที่เขียนขึ้นจากปากคำของใครคนใดคนหนึ่ง (อย่างน้อยก็ปากคำของพระเจ้า) แต่ที่จริงแล้ว ไบเบิลคือคัมภีร์ที่เขียนขึ้นตามอำเภอใจของใครก็ได้ที่อยากจะเขียน โดยสามารถเขียนขึ้นมาเป็น Gospel ต่างๆ ชาวคริสต์เราอาจคุ้นเคยกับพระวรสารของนักบุญลูกา (Luke) นักบุญมาระโก (Mark) แต่ที่จริง กวีอย่าง วิลเลียม เบลค, วอลท์ วิทแมน หรือนักเขียนอย่างชาลส์ โบดเดอแลร์ ต่างก็เคยเขียน ‘กอสเปล’ ของตัวเองขึ้นมาทั้งนั้น

คำว่า ‘ไบเบิล’ มาจากคำว่า Biblia อันเป็นศัพท์กรีก แปลว่า small books หรือหนังสือเล่มเล็กๆ หลายๆ เล่มที่ถูกนำจับมาเรียงต่อกันเข้า

ฉะนั้น ใครอยากจะเขียน ‘หนังสือเล่มเล็กๆ’ สักเล่ม โดยว่าถึงพระเจ้าที่ตัวเอง (คิดว่าหรืออ้างว่า) ได้รับ ‘แรงดลใจ’ มาจากพระเจ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิด

และการที่ ‘อำนาจเหนือ’ (Authorization) บางอย่าง (เช่นผู้ที่สังคายนาพระคัมภีร์) นำ ‘หนังสือเล่มเล็กๆ’ เฉพาะบางเล่มที่ ‘อำนาจเหนือ’ นั้นเห็นว่า ‘ถูกต้องชอบธรรม’ มาเรียงกัน แล้วบอกว่านี่คือไบเบิลที่ทุกคนต้องเคารพ คือปากคำของพระเจ้า-ก็ย่อมหาใช่เรื่องผิดไม่

แต่เรื่องผิดน่าจะเกิดขึ้นเมื่อ ‘อำนาจเหนือ’ บอกเราว่า เมื่อมีไบเบิลฉบับที่ถูกต้องเที่ยงตรงเป็นทางการ (Authoritative Bible) แล้ว กอสเปลอื่นๆหรือไบเบิลอื่นๆ คือกอสเปลที่ผิด

เพราะที่จริง กอสเปลทุกแบบทุกเล่ม ต่างก็ล้วน ‘อ้าง’ ว่าเขียนขึ้นจาก ‘การดลใจ’ ของพระเจ้าทั้งนั้นแหละครับ

คำถามก็คือ ‘ใคร’ คือผู้มีสิทธิอำนาจในการ ‘จัดสรร’ ว่ากอสเปลไหนควรเอาไปเก็บเข้ากรุ เผาทิ้ง หรือทำเหมือนไม่เคยมีอยู่ในโลก และกอสเปลไหนสมควรมี ‘ที่ทาง’ อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์

ใครยึดกุม ‘อำนาจเหนือ’ นั้นเอาไว้

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.คำตอบไม่ใช่พระเจ้าหรอกครับ!

ระหว่างกอสเปลที่เป็นทางการกับกอสเปลที่ไม่เป็นทางการ มีการต่อสู้ระหว่างกันมาตลอดเวลาหลายพันปี ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อยืนยันความถูกต้องว่ากอสเปลไหนถูกกอสเปลไหนผิด (เพราะไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเรื่องของพระเจ้านั้นเรื่องไหนถูกเรื่องไหนผิด และถ้าว่ากันตามตรรกะแบบคริสต์แล้ว มนุษย์ก็ต่ำต้อยเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร-ฉะนั้นมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูก อะไรผิด) แต่การต่อสู้ที่ว่านั้น เกิดขึ้นเพื่อการมี ‘ที่ทาง’ และสร้างทางเลือกให้กับคนอ่านหรือคริสตศาสนิกชนที่ควรมีโอกาสได้รับรู้และมี ‘สิทธิ’ ที่จะตีความพระคัมภีร์ในแบบของตัวเอง

ตั้งแต่จำความได้ ในฐานะชาวคริสต์ ผมถูกสอนมาว่าพระเจ้ามีอยู่แต่เพียงองค์เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เก่า เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งมวลภายในเจ็ดวัน แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่จริงมี ‘กอสเปล’ อื่นๆอีกมาก ที่เล่าถึงโลก ‘ก่อนหน้า’ บทตอนที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนเอาไว้

สำหรับผม ‘ไบเบิลทางเลือก’ อย่างนอสติกกอสเปล (Gnostic Gospel หรือกอสเปลของเจมส์) หรือเดดซีสครอล (Dead Sea Scroll) หรือสิ่งที่ถูกเรียกว่า อะโปคริฟา (Apocrypha-แปลว่า hidden things) ซึ่งเป็น ‘กอสเปล’ ทางเลือก (ที่จริงศาสนจักรไม่ถือว่าอะโปคริฟาเป็นกอสเปลนะครับ) นั้น, เล่าเรื่องต่างๆไว้ยิบย่อยละเอียดละออมากกว่ากอสเปลอย่างเป็นทางการมากนะครับ มากเสียจนถูกกล่าวหาว่าเป็น pseudoepigrapha หรือ false writings หรืองานเขียนที่ผิดพลาดไปเลย ไม่ว่าจะเป็นกอสเปลลับของมาร์ค (The Secret Gospel of Mark), กอสเปลของฮีบรูว์, กอสเปลของอีบิโอไนต์, กอสเปลของนิโคเดมุส หรือกอสเปลของบาร์โธโลมิว เหล่านี้ล้วนเป็นกอสเปลที่ถูกความสัมพันธ์เชิงอำนาจเขี่ยตกเวทีไปทั้งสิ้น

คริสต์ศาสนิกชน ‘ที่ดี’ จึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่า เอาเข้าจริง มีกอสเปล ‘อื่นๆ’ อีกมากมายที่ยืนยันตรงกันว่า ที่จริงแล้วไม่ได้มีพระเจ้าอยู่แค่องค์เดียว!

ADVERTISEMENT

ราก’ ของศาสนาคริสต์ ที่จริงไม่ใช่เอกเทวนิยมแบบที่สอนๆ กันหรอกนะครับ ทว่าที่จริงก็เป็น ‘พหุเทวนิยม’ เหมือนกับพราหมณ์ ฮินดู หรือแม้แต่เหล่าเทพของกรีกและโรมันนั่นเอง

พระเจ้า ‘องค์ปัจจุบัน’ หรือพระยาเวห์ ที่นับถือกันอยู่นี้ ที่จริงนอสติกกอสเปลเห็นว่าเป็นแค่พระเจ้า ‘องค์หนึ่ง’ ซึ่งถูกพระเจ้าอื่นๆ ตั้งฉายาให้ว่าเป็น The Jealous God หรือพระเจ้าขี้อิจฉา ค่าที่วันๆ ก็คอยแต่ไปนั่งอิจฉาพระเจ้าองค์อื่นๆ ที่เดิมทีมีชื่อเสียงมากกว่า จนในที่สุดก็เลยคิดสร้างโลกใบนี้ขึ้นเพื่อให้โลกมายกย่องตัวเอง แล้วก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองลำพัง แต่สร้างด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้าองค์อื่น (ที่มีเพศเป็นหญิงเสียด้วย) แต่พอเสร็จแล้วก็ยึดไว้เสียเอง พร้อมทั้งสอนผู้คนให้เชื่อด้วยว่า มีพระเจ้าอยู่แต่องค์เดียว (ต้องย้ำว่า นี่เป็นคำสอนของนอสติกกอสเปลนะครับ ผมไม่ได้พูดเอง!)

Oh, my god!

2

            นักปรัชญาการเมืองสายมาร์กซิสม์ (ที่ดูจะไม่ค่อยชอบประชาธิปไตยสักเท่าไหร่) อย่าง คาร์ล ชมิดท์ เคยบอกไว้ว่า การเมืองคือการแบ่งแยกมิตรและศัตรูให้ขาด และเมื่อแยกมิตรศัตรูแล้ว เราก็จะสามารถ ‘นิยาม’ ตัวเองได้-ว่าเราคือใคร โดยนิยามตัวเองจากศัตรูของเรา

ถ้าคิดแบบนี้ เราจะเห็นว่าพระเจ้าก็ได้เริ่มเล่น ‘การเมือง’ ในสไตล์ของพระองค์มาตั้งแต่บอกกล่าวให้อับราฮัมผู้เป็นบิดาของชนชาติยิวรู้แล้วว่า-ชาติพันธุ์ของเขาจะต้องอยู่ร่วมกับผู้คนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เป็นมิตร และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่เป็นศัตรู

แต่ปัญหาของอับราฮัมก็คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า ว่าใครคือมิตร และใครคือศัตรู

คาร์ล ชมิดท์ บอกว่า ประเทศหนึ่งๆ จะมีความสุขสงบได้อย่างถาวรแท้จริง ก็ต่อเมื่อคนในชาตินั้นๆ ได้มอบอำนาจให้ ‘รัฏฐาธิปัตย์’ (เทียบได้เท่ากับ ‘พระเจ้า’ เปี๊ยบเลยครับ!) สามารถวินิจฉัยได้ว่า ใครคือศัตรูของสาธารณะ ใครเป็นศัตรูภายนอกและศัตรูภายใน

 

เมื่อพระเจ้าสามารถ ‘รวบรวม’ ชาติอิสราเอลเข้าไว้ด้วยกันให้เป็นปึกแผ่นได้แล้ว พระองค์ก็ต้องเริ่มงาน ‘กำจัด’ ศัตรูภายใน พร้อมกับ ‘สร้าง’ ศัตรูภายนอกขึ้นมาให้ได้ โดยแรกทีเดียว เหล่าศัตรูภายในได้แก่กลุ่มคนอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้า ‘สั่ง’ ให้ทำอะไรก็ไม่ยอมทำตาม วิธีกำจัดศัตรูภายในนั้นมีต่างๆนานา ไม่ว่าจะด้วยการให้ชาวอิสราเอลตกไปเป็นทาสของชาวอียิปต์ การแสดงฤทธิ์อำนาจต่างๆ รวมไปถึงการ ‘ขู่’ สารพัด จนแทบเรียกได้ว่าหมดสิ้นศัตรูภายในไป

พระเจ้าเป็นนักการเมืองที่หลักแหลมอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ใช้กระบวนการแบบนัดเดียวได้นกสองตัว คือทำให้เหล่าชาวอิสราเอลกลัวด้วยคำขู่ (ตามมาด้วยการ ‘ลงมือ’ กระทำจริงๆ ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้พ่ายแพ้ต่อศัตรู ทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งไม่ยอมนำพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา เป็นต้น) เป็นการกำจัดศัตรูภายใน และในขณะเดียวกันก็มีกระบวนการสร้าง ‘ความเป็นอื่น’ (the other) ขึ้นพร้อมๆ กับทำให้คนที่มีวัตรปฏิบัติหรือนับถือสิ่งอื่นที่แตกต่างจากตัวเองกลายเป็นคนที่แปลกหน้า (stranger) และแปลกประหลาด (alien) พร้อมที่จะรบพุ่งฆ่าฟัน และทำลายล้างคนเหล่านั้น รวมทั้งบุกเข้าไปยึดที่ดินทำกินที่คนเหล่านั้นได้อยู่อาศัยกันมาก่อนหน้าตั้งแต่ปู่ย่าตายาย

ซาตานซี่ย์

ซาตานซี่ย์

แกเป็นใคร่ จับชั้นมาทำมั่ย แกต้องการอ่ะไร้

พระเจ้าจอร์ด

พระเจ้าจอร์ด

วอทคืออะไร?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *